สละชีวิตเป็นเดิมพันสร้างบารมี
เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ พระองค์ปรารถนาที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และสั่งสอนสัตว์โลกให้บรรลุธรรมตาม จึงตั้งใจสร้างบารมีโดยการสละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน นานถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีเต็มเปี่ยมจึงไปเกิดเป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ชื่อ “ท้าวสันดุสิต” เมื่อถึงเวลาอันควร เทวดาและพรหมทั้งปวง ได้ทูลอัญเชิญให้มาเกิดในโลกมนุษย์
เลือกเกิดได้ด้วยพระบารมี
พระองค์ทรงตรวจดู “ปัญจมหาวิโลกนะ” คือ 1.ทวีป 2.ประเทศ 3.อายุขัยของมนุษย์ 4.ตระกูล 5. มารดา เมื่อทรงเห็นว่ามีครบทั้ง 5 ประการ ที่เหมาะแก่การตรัสรู้แล้ว จึงทรงรับคำเชิญมาเกิด และทรงเลือกเกิดในตระกูลกษัตริย์ ซึ่งเป็นตระกูลสูง พระราชบิดา คือ พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชมารดา คือ พระนางสิริมหามายาในวันเสด็จลงสู่พระครรภ์พระราชมารดาทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่ามีพญาช้างเผือกนำดอกบัวขาวมาถวาย
ได้ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ
เมื่อใกล้คลอด พระราชมารดาเสด็จกลับกรุงเทวทหะ ระหว่างทางประสูติพระราชกุมารที่มี ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ ณ สวนลุมพินีวัน ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ด้วยพระบารมีที่ทรงสั่งสมมา พระราชกุมารเสด็จดำเนินไป 7 ก้าว ทุกก้าวมีดอกบัวเกิดขึ้นมารองรับ จากนั้นประทับยืน ณ พระบาทที่ 7 ทรงบันลือสีหนาท เปล่งอาสภิวาจา คือ วาจาอันองอาจว่า
“เราเป็นเลิศในโลก
เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
การเกิดครั้งนี้ของเราเป็นครั้งสุดท้าย
ภพใหม่ต่อไปไม่มีสำหรับเรา”
ในการประสูติของบรมโพธิสัตว์ เป็นเหตุอันอัศจรรย์ยิ่ง ยังโลกธาตุสะเทือนเลื่อนลั่นสนั่นหวั่นไหว เป็นการแสดงความยินดีปรีดาที่ผู้มีบุญญาได้มาบังเกิดในมนุษยโลกนอกจากนี้ ความอัศจรรย์ยังมิได้หมด
ยังมีสิ่งคู่บุญที่เกิดร่วมกับพระองค์ ในคัมภีร์มธุรัตถวิลาสินี กล่าวไว้ว่ามีอยู่ด้วยกัน 7 สิ่ง คือ
1. พระนางพิมพา
2. เจ้าอานันทะ
3. ฉันนะอำมาตย์
4. กาฬุทายีอำมาตย์
5. พญาม้ากัณฐกะ
6. ต้นมหาโพธิ์พฤกษ์
7. ขุมทรัพย์ทั้ง 4 ขุม
ทำนายลักษณะ
ได้รับพยากรณ์
เมื่อประสูติได้ 5 วัน ได้รับถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า ผู้มีความสำเร็จตามต้องการ และมีพราหมณ์ 7 คน พยากรณ์ว่า ถ้าพระราชกุมารอยู่ทางโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะพยากรณ์ว่า จะออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
พระราชบิดาทำความเคารพด้วยความเลื่อมใส
เมื่อพระชนมายุ 7 พรรษา ทรงตามเสด็จพระราชบิดาไปร่วมพิธีแรกนาขวัญ และประทับรออยู่ใต้ต้นหว้า ทรงนั่งสมาธิ(Meditation)ที่ใต้ต้นหว้านั้น พลังจิตอันเป็นสมาธิที่แน่วแน่ทำให้เกิดเหตุอัศจรรย์ ขณะนั้นแม้เป็นเวลาบ่าย แต่เหงาต้นหว้ากลับอยู่กับที่คอยบังแดดให้เจ้าชายซึ่งนั่งสมาธิอยู่ มิได้เคลื่อนย้ายตามดวงอาทิตย์ไป พระราชบิดาทรงเลื่อมใสอย่างยิ่ง จึงทรงยกพระหัตถ์ถวายนมัสการ(ไหว้)พระราชโอรส
7 ขวบ เรียนจบ 18 สาขา ภายใน 7 วัน
เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมีพระสติปัญญาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาด และมีความทรงจำเป็นเลิศ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เมื่อพระชมมายุได้ 7 พรรษา สามารถศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จวิชาต่างๆ ถึง 18 ประการ (18 ปริญญาของคนสมัยนี้) ในเวลาอันรวดเร็วเป็นอัศจรรย์ เพียง 7 วันก็หมดสิ้นความรู้ของอาจารย์ที่มีความรู้สูงที่สุดในยุคนั้น
ชีวิตสุขสบายดังอยู่ในสรวงสวรรค์
เมื่อพระชมมายุ 16 พรรษา พระราชบิดาทรงสร้างปราสาท 3 ฤดู ที่สวยงาม ให้ประทับอย่างสุขสบายดังอยู่ในสรวงสวรรค์ และทรงจัดการอภิเษกพระนางยโสธรา พระราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงเทวทหะ ผู้ทรงมีความงามเป็นเลิศ มีลักษณะเบญจกัลยาณี ให้มาเป็นพระชายา ด้วยหวังจะโน้มน้าวให้เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ครองราชสมบัติโดยไม่คิดออกบวช
มีทุกอย่างที่ชาวโลกต้องการ แต่สละเพื่อเสด็จออกผนวช
วันหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จประพาสนอกพระราชวัง ทอดพระเนตร คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็ทรงสลดพระทัยในความไม่เที่ยงของชีวิต
แต่เมื่อเห็นนักบวช ก็ทรงพอพระทัย และทรงเชื่อว่าการบวชจะทำให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ จึงทรงอยากออกบวช แม้จะทรงมีพร้อมทุกสิ่งที่ชาวโลกต้องการ และอีกไม่นานก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก แต่มิได้ทรงลุ่มหลงในสิ่งเหล่านั้นเลย
ออกผนวชช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์
เมื่อพระชมมายุ 29 พรรษา ทรงมีพระโอรสพระนามว่า “ราหุล” แม้จะทรงรัก และห่วงใยพระโอรสมาก แต่ความปรารถนาที่จะหาทางช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์มีมากกว่า ในคืนที่พระโอรสประสูตินั่นเอง ได้ทรงม้าชื่อ “กัณฐกะ” และมี “นายฉันนะ” เป็นผู้ติดตาม เสด็จออกจากพระราชวังไป
โดยไม่อาลัยอาวรณ์ทรัพย์สมบัติ อำนาจ ราชบัลลังก์ และความสุขทั้งปวง ทรงเลือกชีวิตนักบวช ซึ่งเป็นชีวิตอันประเสริฐ สามารถที่จะฝึกฝนตนเอง จนค้นพบทางพ้นทุกข์ได้
อธิษฐานเป็นบรรพชิต
เมื่อถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงตัดพระเมาลี (มวยผม) พระเกศา (ผม) เหลือความยาว 2 องคุลี ม้วยกลมเป็นทักษิณาวรรต ด้วยบุญบารมีทำให้พระเกศายาวอยู่เพียงแค่นั้นตราบวันปรินิพพาน จากนั้น ทรงอธิษฐานว่า
“ถ้าเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอให้พระเกศาของเราจงตั้งอยู่ในอากาศ
แต่ถ้าไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ก็ขอให้พระเกศานี้ตกลงบนพื้นดิน”
แล้วทรงโยนพระเกศาขึ้นไปอยู่ในอากาศ พระอินทร์ทรงเอาผอบแก้วรับไว้ แล้วนำไปประดิษฐาน ณ จุฬามณีเจดีย์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงรับบาตรและจีวรจาก ฆฏิการพรหม แล้วครองเพศบรรพชิตออกแสวงหาทางพ้นทุกข์ต่อไป
บำเพ็ญเพียรทางจิต
เช้าวันที่จะตรัสรู้ นางสุชาดา นำข้าวมธุปายาสมาถวายยามเย็น ทรงรับหญ้าคาจาก โสตถิยพราหมณ์ มาปูเป็นอาสนะใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า
“แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น
เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตาม
ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ตราบนั้นเราจักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้”
จากนั้น ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตด้วยหลักทางสายกลาง “มัชฌิมาปฏิปทา” ไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป
เรียนจนสุดความรู้ของอาจารย์
จากนั้น พระโพธิสัตว์ (เจ้าชายสิทธัตถะ) ทรงเข้าศึกษาในสำนักของ อาฬารดาบส และ อุทกดาบส ในเวลาไม่ช้าก็เรียนรู้จนหมดสิ้นความรู้ของอาจารย์ แต่ยังไม่พบหนทางดับทุกข์ อาจารย์ทั้ง 2 เห็นความสามารถของพระองค์ จึงชวนให้เป็นอาจารย์ช่วยสอนศิษย์ด้วยกัน แต่พระองค์ทรงเห็นว่า ความรู้ที่ทรงเล่าเรียนนั้นไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ จึงลาไปแสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง
แสวงหาทางพ้นทุกข์
พระโพธิสัตว์ทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ จึงทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือ ทรมานตนเองตามความเชื่อดั้งเดิม เอาฟันกดฟัน กลั้นลมหายใจ และอดอาหาร เป็นต้น จนผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ จึงทรงเลิกทรมานตนเอง กลับมาเสวยพระกระยาหาร จนร่างกายแข็งแรงสดชื่น แล้วทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตแทน ปัญจวัคคีย์ ที่มาคอยรับใช้อยู่ คิดว่าพระองค์คงไม่มีโอกาสที่จะ ตรัสรู้ แล้ว จึงพากันจากไป
ชนะมารตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้
ขณะนั้น พญามารพาไพร่พลยกทัพมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระองค์ เทพบุตรมารขี่ช้างคิริเมขล์สูง 150 โยชน์ เนรมิตรแขนพันแขน ถืออาวุธนานาชนิด หมู่มารทั้งหลายล้วนมีรูปร่างน่าสะพรึงกลัว เข้าจู่โจมพระโพธิสัตว์ทั้งสี่ทิศ แต่พระองค์ไม่ทรงหวาดหวั่น ทรงระลึกถึงบารมี ที่บำเพ็ญมาถึง 20 อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ทำให้มารทั้งหลายหลบหนีไปจนหมดสิ้น พระโพธิสัตว์จึงทรงชนะมารตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้
ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยการทำสมาธิ(Meditation)ภาวนา
จากนั้น พระโพธิสัตว์ทรงเจริญสมาธิภาวนา ทำใจให้หยุดนิ่งที่ ศูนย์กลางกาย ทรงมีจิตตั้งมั่นค้นพบทางสายกลาง หยุดนิ่งเรื่อยไปตามลำดับจนเวลาใกล้รุ่งของวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นเอง เป็นการ ตรัสรู้ด้วยตนเอง โดยการทำสมาธิภาวนา มิได้ปฏิบัติตามคำสอนของใคร ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา
ค้นพบสุดยอดแห่งความรู้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกที่ค้นพบสุดยอดแห่งความรู้ ที่ทำให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ซึ่งไม่เคยมีศาสดาคนใดค้นพบมาก่อน ในยามต้น ทรงบรรลุ บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ระลึกชาติตนเองได้ ในมัชฌิมยาม ทรง บรรลุจุตูปปาตญาณ คือ รู้การเกิดการตายของสัตว์อื่นได้ ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ คือการทำอาสวกิเลสให้หลุดร่อนออกจากใจ เพราะทรงเห็นแจ้ง อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมไม่มีไครเทียบได้
บรมครูผู้ยิ่งใหญ่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ เพราะทรงมี พระมหากรุณาธิคุณ ที่จะสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข
พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งสรรพสิ่ง ทรงทราบจริต อัธยาศัย กิเลส และสติปัญญาของสรรพสัตว์อย่างกระจ่างชัดเสมือนเห็นของที่อยู่ในฝ่ามือ จึงทรงแสดงธรรมได้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทำให้ผู้ฟังบรรลุธรรมได้ง่าย หลังตรัสรู้ ทรงทราบว่าปัญจวัคคีย์จะบรรลุธรรมตามได้ จึงเสด็จไปยังป่า อิสิปตนมฤคทายวัน
ใครปฏิบัติตามคำสอนก็จะบรรลุธรรมได้
วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ทรงแสดงปฐมเทศนาชื่อ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” พราหมณ์โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นบุคคลแรกที่พิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าใครปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ พราหมณ์โกณฑัญญะอุปสมบทเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา วันนี้จึงเป็นวันที่พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้น คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเรียกวันนี้ว่า “วันอาสาฬหบูชา”
ประกาศพระศาสนานำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระสาวกจำนวนหนึ่งแล้วก็ทรงมีพระดำรัสให้พระสาวกแยกย้ายกันออกเผยแผ่พระศาสนา โดยมีพุทธดำรัสว่า
“พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
…..สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสน้อยมีอยู่ ผู้สามารถรู้ธรรมยังมีอยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แม้เราก็จักไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”
ทรงเผยแผ่พระศาสนาจนมีผู้บรรลุมรรคผลมากมาย ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม สมดังที่ตั้งความปรารถนาไว้เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ว่าจะนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
เวฬุวันมหาวิหาร..วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
ต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปกรุงราชคฤห์ทรงเทศน์โปรด พระเจ้าพิมพิสาร และประชาชนจนได้ดวงตาเห็นธรรมกว่าแสนคน พระเจ้าพิมพิสารทรงบรรลุโสดาปัตติผลประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ทรงถวาย อุทยานเวฬุวัน ให้เป็น วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล จนกระทั่งมนุษย์และเทวดาบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก เป็นพยานยืนยันว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มีจริง สามารถเข้าถึงได้จริง และเป็นของดีจริง
สอนได้ทุกระดับชั้น ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม
พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมแก่ชาวโลกทุกชนชั้นตั้งแต่คนธรรมดา กษัตริย์ ไปจนถึงเทวดาและพรหม ในแต่ละวันทรงมี พุทธกิจ 5 ประการ คือ เช้าบิณฑบาต เย็น แสดงธรรมแก่มหาชน ค่ำประทานโอวาทแก่ภิกษุ เที่ยงคืน ตอบปัญหาแก่เทวดา ใกล้รุ่ง ตรวจดูสัตว์โลกที่ควรเสด็จไปโปรด พระองค์ทรงเมตตาทุ่มเทสั่งสอน โดยมิได้หวงแหนความรู้ จนมีผู้บรรลุธรรมมากมาย และออกบวชเป็นภิกษุ ภิกษุณี เป็นจำนวนมาก ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง
โอวาทปาฏิโมกข์ หัวใจพระพุทธศาสนา
เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของปีถัดมานับจากวันตรัสรู้ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูป ที่เผยแผ่พระศาสนาอยู่ในที่ต่างๆได้เดินทางกลับมาประชุมกัน ณ วัดเวฬุวัน โดยมิได้นัดหมาย ในวันนี้พระพุทธองค์ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ หลักธรรมซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โดยทรงสอนพุทธบริษัท 4 ให้ละเว้นความชั่ว ให้ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส วันนี้จึงเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง เรียกว่า “วันมาฆบูชา”
โปรดพุทธบิดา พุทธมารดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างเรื่องความกตัญญู ทรงเทศน์โปรดพุทธบิดา จนได้เป็นพระอรหันต์ และเสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา จนกระทั่งได้เป็นพระโสดาบัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบแทนคุณบิดามารดาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ด้วยการให้อริยทรัพย์ ทำให้พุทธบิดาไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ส่วนพุทธมารดาก็ได้เป็นพระอริยบุคคล มีชีวิตที่มั่นคงปลอดภัยอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์
เปิดโลกทั้งสามด้วยพุทธานุภาพ
ครั้นถึง วันออกพรรษา พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงเปิดโลกทั้งสามด้วยพุทธานุภาพ ให้เทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย ได้เห็นกันและกันด้วยตาเนื้อ วันนั้นมหาชนต่างแลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาทางบันไดแก้วมณี เทวดาที่มาส่งเสด็จลงทางบันไดทอง มหาพรหมลงทางบันไดเงิน สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เห็นความอัศจรรย์ต่างตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต จากนั้นทรงแสดงธรรม มีมนุษย์และเทวดาเข้าถึงไตรสรณคมน์ถึง 30 โกฏิ
ไปโปรดยักษ์
ครั้นหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด อาฬวกยักษ์ พระองค์เสด็จไปประทับยืนที่ประตูวิมานของอาฬวกยักษ์ อาฬวกยักษ์โกรธมาก พยายามทำร้ายพระพุทธองค์ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ปล่อยอาวุธหลายชนิดออกมา แต่อาวุธกลับกลายเป็นผ้าเช็ดบาท ต่อมา อาฬวกยักษ์ได้ทูลถามปัญหา และขู่ว่าถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบไม่ได้จะควักหัวใจ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมตอบได้ทุกข้อ จนในที่สุดอาฬวกยักษ์เกิดความเลื่อมใส และได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เปลี่ยนจากยักษ์ใจร้ายกลายเป็นยักษ์ใจดี
ไปโปรดโจรองคุลิมาล
วันหนึ่ง องคุลิมาล โจรชื่อเสียงโด่งดังที่ฆ่าคนแล้วเอานิ้วมือมาคล้องคอ กำลังวิ่งไล่ฆ่ามารดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรากฏกายขึ้น องคุลิมาลวิ่งเข้าใส่พระองค์ทันทีแต่ตามไม่ทัน องคุลิมาลวิ่งตามมาหลายกิโลจนรู้สึกเหนื่อยล้ามาก จึงคิดว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ เมื่อก่อนเราวิ่งเร็วกว่าช้างม้า แต่ครั้งนี้วิ่งจนสุดกำลังก็ยังไม่ทันสมณะที่เดินตามปกติ จึงร้องตะโกนว่า “สมณะหยุด สมณะหยุด” พระพุทธองค์ตรัสว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด” แล้วทรงแสดงธรรมจนกระทั่งองคุลิมาลทิ้งดาบลง ขออุปสมบท และต่อมาได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ไปโปรดพรหม
ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปยังพรหมโลกเพื่อโปรดพกพรหม แต่พกพรหมไม่มีความศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถือว่าตนเองมีอนุภาพมากกว่า จึงท้าทายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เราจะหายตัวไป ถ้าพระองค์จริงต้องหาให้พบ” พระพุทธองค์ทรงรับคำท้า ไม่ว่าพกพรหมจะหายตัวไปอยู่ที่ไหน ก็ทรงมองเห็น ต่อมาเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหายตัวไป พกพรหมกลับมองไม่เห็น ได้ยินแต่พระสุรเสียง จากนั้นทรงแสดงธรรมเล่าเรื่องอดีตชาติของพกพรหม พกพรหมจึงคลายความเห็นผิด บังเกิดสัมมาทิฐิ ยอมรับนับถือพระรัตนตรัย
พระพุทธศาสนา..ศาสนาแห่งปัญญา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของมหาชนทั้งหลายให้ก้าวไปสู้ชีวิตอันประเสริฐสุดได้ คำสอนในพระพุทธศาสนาจึงเป็นคำสอนที่ทรงคุณค่ากว่าคำสอนใดๆ ช่วยให้เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งนี้พระพุทธองค์ทรงมีปัญญาเลิศกว่าใครๆ คำสอนที่ตรัสไว้เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันก็ยังทันสมัยและพิสูจน์ได้ เช่น ทรงอธิบายเรื่องการเกิดของมนุษย์ไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นทารก ซึ่งตรงกับที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันค้นพบ โดยที่พระองค์มิได้ทรงใช้เครื่องมือใดๆ เลย นอกจากการทำสมาธิ(Meditation) และที่สำคัญหากผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ก็จะมีปัญญาฉลาดรอบรู้ได้เช่นกัน
พระพุทธศาสนา..ศาสนาแห่งสันติภาพ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่เผยแผ่สู่ชาวโลกด้วยความสงบ โดยไม่บังคับให้ใครเชื่อ แต่ให้ไตร่ตรองหาเหตุผลก่อน แล้วจึงพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวพุทธมีนิสัยรักความสงบ มีเหตุมีผล ไม่ชอบความรุนแรง ดังจะเห็นได้ว่า 2,500 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีสงครามระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นเลย ดังนั้น ถ้าหากมนุษย์ทุกคนปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ สันติภาพโลกจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พระพุทธศาสนา..ศาสนาแห่งการดับทุกข์
ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา คือ มีคำสอนอันวิเศษ ที่ทำให้เราสามารถขจัดกิเลส ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ให้ออกไปจากตัวเราได้ ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เมื่อใดที่บุญบารมีเต็มเปี่ยม ก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ กำจัดกิเลสได้หมดสิ้น ไม่ต้องมีความทุกข์ และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ซึ่งคำสอนอันทรงคุณค่าเหล่านี้ ไม่มีในศาสนาอื่นใด นอกจากศาสนาพุทธ
ทรงปลงอายุสังขาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแผ่ศาสนาเป็นเวลาถึง 45 ปี เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ ขณะประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ทรงปลงอายุสังขารว่า
“นับแต่นี้ไปอีก 3 เดือน ตถาคตจักดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน”
ภายในเวลา 3 เดือนนั้น ทรงเตรียมการเรื่องการปรินิพพานไว้พร้อมสรรพ เพื่อให้เกิดความสะดวกกับทุกฝ่าย และทรงสะสางเรื่องราวทุกอย่าง เพื่อให้พระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคง พร้อมเป็นหลักชัยของมนุษยชาติตราบนานเท่านาน
ทำหน้าที่ครูเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงมีเมตตาทำหน้าที่ครูเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการถามว่ามีไครยังไม่เข้าใจอะไรบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสงสัยในพระธรรมวินัยเลย พระอานนท์จึงกราบทูลว่า “น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ไม่มีภิกษุแม้เพียงรูปเดียวสงสัยในพระรัตนตรัยและข้อปฏิบัติใดๆ เลย” จากนั้นพระพุทธองค์ได้ประทาน ปัจฉิมโอวาท ว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้ายว่า
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อประทานปัจฉิมโอวาทเสร็จสิ้นแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในเวลาใกล้รุ่งของคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ตรงตามเวลาที่ทรงปลงอายุสังขารไว้ โดยทรงปรินิพพานอย่างสง่างามด้วยการทำสมาธิเข้าฌานสมาบัติ มีพระอนุรุทธะ ผู้เป็นเลิศทางด้านตาทิพย์ เป็นพยานรู้เห็นการปรินิพพานของพระองค์ทุกขั้นตอน หลังจากปรินิพาน 7 วัน มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ในวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 เรียกวันนี้ว่า “วันอัฐมีบูชา”
แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก ทรงเป็นที่เคารพบูชาอย่างสูงสุดของมนุษย์ เทวดา และพรหม เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพานแล้ว กษัตริย์หลายเมืองได้มาขอพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐานในสถูปเพื่อบูชากราบไหว้ แม้พระอินทร์ก็ยังเสด็จมาอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ ณ มหาจุฬามณีเจดีย์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อให้เทวดาทั้งหลายสักการบูชา
วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ทรงสั่งสอนชาวโลกจนกระทั่งวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ นำทางชาวโลกให้ไปสู่สวรรค์และนิพพานเป็นจำนวนมาก ทรงมีพุทธประวัติที่งดงามหมดจด ชัดเจน ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ จนกระทั่งปรินิพาน และทรงเป็นบุคคลอัศจรรย์ ที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพาน ในวันเดียวกัน คือ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 หรือ วันวิสาขบูชา ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวัน “วันสำคัญสากลของสหประชาชาติ” หรือ วันสำคัญสากลของโลก